🔺แพลงก์ตอน...จิ๋วแต่แจ๋ว
รู้หรือไม่ว่า น้ำในแม่น้ํา ลําคลอง หรือทะเลที่ดูใสๆ คล้ายจะไม่มีอะไรนั้น จริงๆ แล้ว
มีสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าอาศัยอยู่นับล้านๆ ตัว นั่นก็คือ “แพลงก์ตอน” สิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วที่แจ๋วไปด้วยประโยชน์นานาชนิด
แพลงก์ตอน...ตัวจิ๋ว
แพลงก์ตอน (Plankton) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก แปลว่า “drifting” หรือ
“wanderer” มีความหมายว่า ล่องลอยหรือผู้พเนจร ดังนั้นแพลงก์ตอน จึงหมายถึง สิ่งมีชีวิตขนาด
เล็กที่ล่องลอยอยู่ในมวลน้ํา สุดแล้วแต่คลื่นลม และกระแสน้ำจะพัดพาไป พวกมันไม่สามารถว่ายน้ำ หรือเคลื่อนที่อย่างอิสระไปยังทิศทางที่ต้องการ
การจัดกลุ่ม หรือแบ่งประเภทแพลงก์ตอนมีได้หลายรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่จะนิยามแบ่งแพลงก์ตอนออกเป็น 2 กลุ่ม หลักๆคือ แพลงก์ตอนพืช กับ
แพลงก์ตอนสัตว์เป็นการแบ่งโดยยึดหลักตาม
ลักษณะการกินอาหาร
แพลงก์ตอนพืช (Phytoplankton) คือ
สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ล่องลอยในกระแสน้ำ ซึ่งสร้างอาหารได้เองจากการสังเคราะห์แสง พบได้ทั้งใน
น้ำจืด น้ําเค็ม และน้ำกร่อย มักกระจายอยู่ใน
บริเวณที่แสงสองถึงเท่านั้น คือ ตั้งแต่บริเวณ
ผิวหน้าน้ำทะเลจนถึงความลึกประมาณ 200 เมตร
แพลงก์ตอนสตว์ (Zooplankton) คือ สิ่งมีชีวิต
ขนาดเล็กที่ล่องลอยในกระแสน้ำที่ไม่สามารถสร้างอาหารเอง
ได้จําเป็นต้องกินสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น เช่น แพลงก์ตอนพืช
สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก หรือสารแขวนลอยอื่นเป็นอาหาร เช่น ตัว
อ่อนของกุ้ง ปู เป็นต้น
หรืออาจแบ่งแพลงค์ตอนออกตามรูปแบบการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ได้แก่
1. แพลงค์ตอนชั่วคราว คือสิ่งมีชีวิตที่บางช่วงระยะของชีวิต ตรงกับนิยามของแพลงค็ตอน เช่น ลูกปลา ลูกกุ้ง ที่ตัวเล็กๆๆ ยังไม่มีระยางค์ในการเคลื่อนที่และปล่อยให้ตัวเองลอยไปตามกระแสน้ำ
2. แพลงค์ตอนถาวร คือเป็นแพลงค์ตอนตั้งแต่เกิดจนตาย
ประโยชน์ของแพลงก์ตอน
1. เป็นองค์ประกอบเบื้องต้นของห่วงโซ่อาหารในแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือที่เรียกว่าผู้ผลิต ซึ่งมีความหมายรวมไปถึงทั้งแพลงค์ตอนพืช และแพลงค์ตอนพืช ซึ่งห่วงโซ่อาหารนั้นจะสั้นหรือยาวก็ขึ้นอยู่กับแหล่งน้ำนั้น
2. เป็นตัวชี้ถึงระดับความสมบูรณ์ของแหล่งน้ำ โดยการวัดผลผลิตเบื้องต้น(primary productivity)และการวัดการเจริญเติบโตจำเพาะ
3. เป็นตัวชี้กระแสน้ำในมหาสมุทร ในกรณีนี้นิยมใช้แพลงก์ตอนพืชที่มีขนาดใหญ่หรือแพลงก์ตอนสัตว์ที่จำแนกชนิดหรือกลุ่มได้ง่าย เช่น หนอนธนูบางชนิด ได้แก่ Sagitta elegans เป็นตัวชี้กระแสน้ำนอกชายฝั่ง และในชายฝั่ง
4. ชนิดของแพลงก์ตอนใช้เป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำธรรมชาติ ในทะเลบริเวณที่มีธาตุอาหารสมบูรณ์ เช่น บริเวณใกล้ฝั่งที่มีน้ำผุด (upwelling) ของประเทศเปรู มักจะพบไดอะตอมสกุล Thalassiosira, Chaetoceros แต่ถ้าบริเวณที่ห่างจากฝั่งของประเทศเปรู ที่มีธาตุอาหารและมีสัตว์น้ำน้อยจะพบไดอะตอมสกุล Rhizosollenia, Planktoniella เป็นต้น
5. ชนิดและปริมาณของแพลงก์ตอนใช้ตรวจสอบมลภาวะของแหล่งน้ำได้ จะใช้ได้ดีกับภาวะที่เกิดจากสารอินทรีย์ (orginic pollution) แพลงก์ตอนพืชหลายชนิดที่ใช้เป็นดัชนีชี้วัด เช่น Euglena viridis, Nizschai palea, Oscilltoria limosa, Scenedesmus quadricauda, Oscillatoria tenuis ทั้งหมดนี้เป็นห้าชนิดแรกที่ใช้ในการตรวจสอบมลภาวะที่เกิดจากสารอินทรีย์ในน้ำ นอกจากนั้นยังใช้ค่าดัชนีความหลากหลาย (diversity index) ซึ่งคำนวณโดยใช้ข้อมูลจำนวนชนิดของแพลงค์ตอนและปริมาณของแพลงก์ตอนแต่ละชนิด ประเมินสภาวะมลพิษในแหล่งน้ำที่ต้องการศึกษา
6. ใช้ในอุตสาหกรรม โดยอาจใช้ในรูปที่มีชีวิต
โดยใช้ทั้งเซลล์หรือโดยการสกัดผลผลิตที่เซลล์ผลิตขึ้นมาหรืออาจจะใช้ในรูปของ fossil
6.1 ใช้ในรูปของแพลงก์ตอนที่มีชีวิต นำมาใช้ประโยชน์โดย
- เป็นอาหารสัตว์ ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำวัยอ่อน เช่น เป็นอาหารสำหรับลูกกุ้ง
- เป็นอาหารมนุษย์ สาหร่ายบางชนิด เช่น Spirogyra ซึ่งเป็นอาหารหลักของประเทศแถบอินโดจีนเช่น พม่า อินเดีย โดยชนิด Oedogonium ใช้ปรุงเป็นอาหารในประเทศอินเดีย ส่วนชนิด Chlorella,Spirulina (สาหร่ายเกลียวทอง) ใช้เป็นอาหารเสริมที่มีโปรตีนสูง
- ใช้เป็นยารัักษาโรค ชนิด Spirulina ใช้เป็นสารประกอบในยารักษาความดันโลหิตสูง โลหิตจาง โรคภูมิแพ้ มะเร็งในช่องปาก เป็นต้น
6.2 ใช้ในรูปของซาก fossil
- ไดอะตอมไมท์ (diatomite) หรือ ไดอะโตมาเซียสเอิธ เป็นซากที่เหลือจากผนังเซลล์ของไดอะตอมเกิดการทับถมมาเป็นเวลานานนับล้านปี ถูกนำมาใช้ในการทำผลิตภัณฑ์เครื่องกรองน้ำยาต่าง ๆ ฉนวนกันความร้อนในอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น หม้อต้มน้ำ และเตาเผาที่ใช้ความร้อนสูง
- หินปูน (carbonate rock) ประกอบด้วยแคลไซท์ ซึ่งเกิดจากส่วนของเซลล์ที่ตายแล้วของแพลงก์ตอนพืชหลายกลุ่ม
- ด้านอุตสาหกรรมน้ำมัน สามารถสร้างเคโรเจนซึ่งเป็นสารประกอบเคมีประเภทไฮโดรคาร์บอนและจะเปลี่ยนสภาพน้ำมันปิโตรเลียมโดยขบวนการทางธรรมชาติ
7. ใช้ในการศึกษาทดลองทางวิทยาศาสตร์